ร้อยไหม

“การร้อยไหม” เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในการยกกระชับผิว และก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่การร้อยไหม จะแก้ปัญหาในเรื่องการหย่อนคล้อย ยกกระชับให้ใบหน้าดูเด็กลง เนื่องจากความหย่อนคล้อยเป็นสาเหตุให้ใบหน้าดูมีอายุ

เราสามารถร้อยได้ทุกส่วนของใบหน้าของเรา อาทิ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก แก้มที่หย่อนคล้อย หน้าผาก เป็นต้น ซึ่งการร้อยไหม เมื่อไหมถูกร้อยเข้าไปที่บริเวณใบหน้า จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวและมีการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน ขึ้นมาใหม่บริเวณรอบเส้นไหม ทำให้ผิวหน้าถูกดึงรั้งจนเต่งตึง 

ร้อยไหม ดีไหม? เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น กรอบหน้าชัดเจน
  • ผู้ที่ต้องการกระชับผิวหน้าโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้นนาน หรือมีแผลเป็นจากการผ่าตัด และต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
  • คนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของแก้มล่าง หรือมีแก้มค่อนข้างเยอะ การร้อยไหมจะช่วยเก็บกระเปาะแก้มได้

ใครที่ไม่ควรร้อยไหม?

สำหรับบุคคลที่ไม่เหมาะแก่การร้อยไหม คือ ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคไวรัสตับอักเสบ ผู้ที่มีเชื้อ HIV และสตรีที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชาชนิดฉีด ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงผู้ที่มีประวัติเป็นคีลอยด์ ก็ไม่เหมาะกับการร้อยไหมเช่นกัน

ไหมมีกี่ชนิด แล้วจะเลือกอะไรดี ?

สามารถแบ่งการร้อยไหม ตามสภาพการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อผิว ดังนี้

1. แบบผิวเรียบ เป็นเส้นไหมเรียบ ไม่มีเงี่ยงหรือปุ่ม ช่วยลดริ้วรอยบางจุด ทำให้ผิวหนังเต่งตึง หรือกระตุ้นการเกิดคอลลาเจน ร้อยเป็นร่างแห แต่ให้ผลในการยกกระชับผิวหนังไม่มาก และต้องร้อยไหมชนิดนี้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น

2.แบบมีเงี่ยง จะมีชื่อเรียกตามท้องตลาด แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น ไหมก้างปลา ไหมกุหลาบ ไหมล็อค ไหม360 ไหมชื่อแนวสัตว์ เช่น จระเข้ ปิรันย่า ปลาฉลาม หรือแนวอัญมณี เช่น ไหมไดมอน ไหมทับทิม ไหมเหล่านี้  จะมีเงี่ยงยื่นออกมาตลอดแนวไหม เพื่อยึดเกาะกับเนื้อเยื่อผิวดีขึ้น ให้ผลในการยกกระชับ “เห็นผลทันทีหลังทำ” มีการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่รอบเส้นไหมและบริเวณเงี่ยง
โดยการร้อยไหมเงี่ยง จะใช้จำนวนของเส้นไหมน้อยกว่าไหมเรียบธรรมดา เส้นไหมชนิดนี้เหมาะกับการยกกระชับบริเวณแก้ม ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น รวมถึงช่วยลดการหย่อนคล้อยได้ผลที่ชัดเจนมากครับ

ผลลัพธ์ยกกระชับใบหน้าด้วยการร้อยไหม อยู่นานไหม? ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

การร้อยไหมเป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าเพียงชั่วคราว โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 1-2 ปี และอาจเริ่มกลับมาหย่อนคล้อยเล็กน้อยหลังจาก 6 เดือนแรก ทำให้อาจต้องเข้ารับการร้อยไหมอีกครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น 

โดยจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย หลักครับ

1.อายุของเส้นไหม วัสดุที่ใช้ร้อยไหมได้ปลอดภัยมี 3 ชนิดคือ PDO / PLLA / PCL ซึ่งวัสดุทั้ง 3 ชนิดนี้ ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผลครับ โดยไหมละลายในปัจจุบัน ไม่มีส่วนผสมของโลหะ สามารถละลายได้หมด 100% ตามระยะเวลา โดยไม่มีสารตกค้าง จะเหลือเพียงเส้นใย elastin ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาซึ่งช่วยประคองผิว

  • PDO (Polydioxanone) จะละลายหมดภายใน 6-8 เดือน เส้นสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นสูง เป็นที่นิยมมากที่สุด

  • PLLA (Polylactate) ละลายหมดภายใน 12-18 เดือน เส้นสีขาวใส ขาดความยืดหยุ่น อาจจะพบปัญหา ไหมขาด ไหมทะลุได้บ่อย
  • PCL (Polycaprolactone) ละลายหมดภายใน 18-24 เดือน เส้นสีขาวขุ่น มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด เส้นใหญ่ที่สุด

 

2.เทคนิคของแพทย์ ในการร้อย
สำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวเส้นไหมเลยนะครับ โดยทั่วไปเทคนิคการร้อยของไหม ขึ้นกับแพทย์เป็นคนออกแบบว่าจะร้อยจากทิศทางไหน แนวจากไหนไปไหน ให้ไหมไปยึดกับอะไร  พวกนี้ขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์ หากร้อยด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็จะเกิดเป็นเส้นไยอิลาสตินช่วยประคองผิว โดยร้อยให้ไหมอยู่ในชั้น Superficial Fat เพราะเป็นจุดที่เกิดปัญหาของการหย่อนคล้อย และจะทำยกถึงผิวด้านบนชั้น fat ได้ การร้อยตื้นจนเกินไป อาจเกิดรอยบุ๋มขึ้นตามแนวที่ร้อยไหมได้ครับ หรือหากร้อยซ้อนทับกันมากเกินไป และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องก็จะเกิดเป็น ผังผืด(fibrosis)

3.ผิวของคนไข้เอง 
ในชั้นผิวของคนเรา จะประกอบด้วย Elastin ดังรูป ซึ่งคล้ายกับตะขอที่เอาไว้ยึดเส้นไหม แม้เส้นไหมจะละลายไป แต่หากเนื้อเยื่อมีการสร้าง elastin ขึ้นมาได้มาก ความกระชับก็ยังคงอยู่ได้ครับ ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น Elastin ย่อมลดลง ทำให้ผลที่ได้อาจสั้นลง สามารถแก้ปัญหาได้ด้วย การร้อยจำนวนเส้นที่มากขึ้นหรือร้อยบ่อยครั้งกว่าในคนทั่วไปครับ

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการร้อยไหม มีอะไรบ้าง?

  • เขียวช้ำบวม ซึ่งจะยุบหายไปเองในระยะ 1 อาทิตย์ โดยไม่มีอันตราย โดยปัจจุบันการร้อยด้วย เข็มปลายทู่ L type จะช่วยให้เกิดการบวมช้ำน้อยที่สุดครับ

แต่ถ้าบวมมากเป็นข้างเดียว มักจะเกิดจากการที่โดนเส้นเลือดที่ค่อนข้างใหญ่ โดยเทคนิคการร้อยให้ถูกชั้นจะช่วยลดปัญหาโดนเส้นเลือดที่มีขนาดใหญ่ได้ครับ ซึ่งเส้นเลือดขนาดใหญ่บริเวณที่เราร้อยไหม มักจะอยู่ใต้ต่อชั้น SMAS ดังนั้น ถ้าเราร้อยในชั้นที่ถูกต้องจะทำให้ไม่โดนเส้นเลือดขนาดใหญ่ ทำให้โอกาสที่จะบวมมากๆ น้อยลง

  • ความรู้สึกเจ็บและไม่สบายใบหน้า เช่น อ้าปากลำบาก เสียวแปล๊บๆ เป็นอยู่ได้ในช่วง 1-2 อาทิตย์แรก  หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับครับ

ร้อยไหม อันตรายไหม??

การร้อยไหม ถือเป็นหนึ่งในวิธีการยกกระชับใบหน้าที่ปลอดภัย ถ้าหากทำการร้อยไหมด้วยวิธีที่ถูกต้อง แต่ก็มีกรณีที่เกิดผลข้างเคียงจากเทคนิคการร้อยไหมที่ไม่ถูกต้อง 

  • การอักเสบติดเชื้อ อุปกรณ์ในการทำต้องสะอาด และ ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งปัญหานี้ถ้าทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐานเรื่องนี้ก็จะช่วยได้ครับโดยปกติหลังร้อยไหม ในช่วง 3-4 วันแรกจะบวมมากขึ้น และหลังจากนั้นอาการบวมจะเริ่มยุบลงจนเข้าที่ใน 14 วัน แต่ถ้าหลังจาก 4 วันแล้วยังบวมแดงมากขึ้น ปวดมากขึ้น ต้องรีบกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมิน
  • ผิวไม่เรียบตะปุ่มตะป่ำจากการร้อยผิดเทคนิค อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการร้อย และการดึงไหมเช่นกันครับ
  • ไหมหลุดออกมา หลังจากสอดเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนัง แพทย์จะตัดปลายไหมส่วนเกินออก เพราะหากไหมยื่นออกมา คนไข้อาจเสี่ยงเกิดการติดเชื้อและการอักเสบของเนื้อเยื่อตามมา ซึ่งเกิดได้น้อยหากแพทย์มีความชำนาญ
  • เส้นประสาทใบหน้าเสียหาย ซึ่งอาจทำให้เป็นอัมพาตที่ใบหน้าและหลอดเลือดได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้เข็มแหลมในการร้อยไหม
  • ท่อน้ำลายของต่อมน้ำลาย parotid ขาด ขึ้นกับเทคนิคของแพทย์เป็นสำคัญ การร้อยให้ถูกชั้นผิวจะช่วยทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นครับ

ขั้นตอนการร้อยไหม

  • หลังจากหมอประเมินรูปหน้า เลือกชนิดของไหมและจำนวนที่เหมาะสมแล้ว จะเริ่มจาก
  • ทายาชา 30 นาที และฉีดยาชา 
  • สอดเส้นไหมเข้าไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอย่างระมัดระวัง เส้นไหมจำนวนหลายเส้นที่สอดเข้าไปนี้จะนำมาซึ่งกลไกการยกกระชับผิว เนื่องจากก่อให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาจับตัวรอบ ๆ เส้นไหม รัดรึงให้ใบหน้าเต่งตึงในที่สุด 
  • ประเมินผลลัพธ์ขณะทำ และให้คนไข้เทียบความแตกต่างระหว่างก่อนกับหลังร้อยไหม

ร้อยไหม เจ็บไหม??

ปกติการร้อยไหมจะเจ็บเฉพาะตอนฉีดยาชา แต่ระหว่างทำการร้อยไหมนั้นจะไม่รู้สึกเจ็บครับ

ร้อยไหม VS ฟิลเลอร์

บางคลินิกใช้การร้อยไหมเติมแทนฟิลเลอร์ อันนี้ไม่แนะนำให้ทำครับ เพราะการเติมเต็มใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก จมูก ต้องใช้ปริมาณเส้นไหมจำนวนมาก(เป็นร้อยๆ เส้น) จะทำให้เกิดผังผืด และเกิดปัญหาในอนาคตครับบางคลินิกนำไหมไปปั่นเป็นผงเล็กๆ (ไหมน้ำ) แล้วฉีดแทนฟิลเลอร์ อันนี้ก็ทำให้เกิดผังผืดครับ ไม่แนะนำเช่นกันครับ

ร้อยไหมแต่ละชนิด ราคาแตกต่างกันอย่างไร ?

ในการร้อยไหมดึงหน้า ร้อยไหมยกกระชับหน้า คลินิกต่างๆ จะมีชื่อเรียกไหมแต่ละชนิดมากมาย เช่น ไหมกุหลาบ, ไหมปิรันย่า, ไหมทับทิม, ไหมทอนาโด, ไหม…., ฯลฯ ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่เป็นสากลครับ คลินิกต่างๆ ตั้งชื่อกันขึ้นมาเอง เพื่อให้คนไข้ไม่สามารถเช็คราคาร้อยไหมเทียบกับคลินิกอื่นๆ ได้ครับ เราสามารถสอบถามทางคลินิกเพิ่มเติมได้ครับว่าร้อยไหมชนิดไหน โดยดูตามลักษณะเส้นไหมตามข้างต้นที่หมออธิบายไปครับ

ร้อยไหม ที่ไหนดี?

ก่อนจะทำการร้อยไหม ควรพิจารณาหัวข้อดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

แพทย์ที่ทำการร้อยไหมจะต้องเป็นแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง : รวมทั้งมีประสบการณ์การในการร้อยไหม เป็นแพทย์ผิวหนังที่เข้าใจสภาพผิวและปัญหาใบหน้าของคนไข้ รู้ถึงกายวิภาคใบหน้าเป็นอย่างดี เพราะบนใบหน้าของเรามีทั้งเส้นเลือด เส้นประสาท เป็นส่วนที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการร้อยไหมได้
คลินิกนั้นจะต้องผ่านการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง : มีเลขใบอนุญาตการเปิดคลินิกที่สามรถตรวจสอบได้แปะไว้ทางด้านหน้าของคลินิกเสมอ โดยเฉพาะสถานประกอบการคลินิกเสริมความงามศัลยกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีคลินิกศัลยกรรมเปิดใหม่จำนวนมาก ทั้งที่ถูกกฎหมาย และ ไม่ถูกกฎหมาย โดยคลินิกจะมีป้ายชื่อคลินิกและเลขใบอนุญาต 11 หลัก และคลินิกนั้นต้องมีความน่าเชื่อถือ โดยมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง มีรูปก่อนและหลังทำการรักษาเปรียบเทียบให้เราดูได้ ก็จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น และพิจารณาด้วยว่าแพทย์นั้นมีเคสที่มีผลข้างเคียงรุนแรงหรือไม่ เพราะสามารถการันตีความชำนาญของแพทย์ได้

สรุป

การร้อยไหม เด่นสุดในเรื่องของการยก เก็บกรอบหน้าให้ชัดครับ เพราะจริงๆ การร้อยไหมคือการย้ายแฟตหรือย้ายไขมันนั่นเองครับ เวลาที่เราอายุเยอะขึ้นไขมันบางบริเวณหนาขึ้น บางบริเวณบางลงและคล้อยลงแบบนี้ครับ

ทีนี้การร้อยไหม เหมือนเป็นการย้ายแฟตที่คล้อยและที่เยอะบางบริเวณไปในบริเวณอื่นนั่นเองครับ เลยทำให้กรอบหน้าชัดคมขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นกับเทคนิคการร้อยและการดีไซน์ด้วยเป็นสำคัญนะครับ ว่าจะร้อยแบบไหน ดูสวยและปลอดภัยครับเพราะใต้ผิวเรา นอกจากไขมันแล้วยังมีทั้งเส้นเลือดและเส้นประสาทอีกด้วยนะครับ