Filler

ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็ม แบ่งออกเป็นหลายชนิด โดยชนิดที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและผ่าน อย.ในไทยมีเพียงชนิดเดียว คือ HA filler(Hyaluronic acid filler) ป็นสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) หรือน้ำตาลเชิงซ้อน สร้างขึ้นเลียนแบบ สารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ในร่างกายของมนุษย์เรา โดยสารกลุ่มนี้จะมีอยู่มากในชั้นผิวหนังและกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของคอลลาเจนนั่นเอง

ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็ม แบ่งออกเป็นหลายชนิด โดยชนิดที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและผ่าน อย.ในไทยมีเพียงชนิดเดียว คือ HA filler(Hyaluronic acid filler) ป็นสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) หรือน้ำตาลเชิงซ้อน สร้างขึ้นเลียนแบบ สารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ในร่างกายของมนุษย์เรา โดยสารกลุ่มนี้จะมีอยู่มากในชั้นผิวหนังและกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของคอลลาเจนนั่นเอง

เราจึงใช้ฟิลเลอร์เพื่อจุดประสงค์ของการเติมเต็มให้กับผิวที่เสื่อมสภาพไป นั้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หรือ แก้ปัญหาร่องลึกต่างๆได้ทั่วไปหน้า ได้แก่ ร่องใต้ตา ร่องแก้ม ขมับตอบ แก้มตอบ รวมไปถึงช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวมีมิติได้ด้วยครับ 

ของแท้ต้องสลายได้ จะสลายไปภายใน 2 ปี ไม่มีการตกค้างครับ ไม่ไหลย้อยผิดรูป ไม่ก่อพังผืด ส่วนฟิลเลอร์ที่เคยเกิดปัญหาในสมัยก่อน มักเป็นจำพวก ซิลิโคนเหลวพลาสติก สารไบโอ พาราฟิน ที่มีการลักลอบนำเข้ามาและฉีดโดยไม่ถูกต้อง สารเหล่านี้เป็นสารที่ไม่สลายจึงเกิดปัญหาเป็นการตกค้างไหลย้อยผิดรูปและพังผืด ดังนั้นควรเลือกฟิลเลอร์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องผ่าน อย. 
อยู่ได้นาน 1-2 ปี แล้วแต่ชนิด ขนาดโมเลกุล เทคนิคการฉีดของแพทย์และปัจจัยในตัวผู้รับการฉีดเองครับ 
ปลอดภัย เป็นสารธรรมชาติ ไม่ก่ออาการแพ้ สามารถสลายเองได้จนหมดหรือฉีดสลายได้ ไม่เหลือสารตกค้าง 
ยี่ห้อที่ได้รับรองจาก อย. ไทย ได้แก่ Restylane,Juvederm,Neuramis,Perfectha,Belotero แพทย์ผู้ฉีดเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดในการฉีดฟิลเลอร์ แม้ฟิลเลอร์ชนิดเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน มีอย.เหมือนกันแต่ฉีดในมือแพทย์ที่ต่างกันผลลัพธ์และความปลอดภัยย่อมต่างกันครับ

ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

สำหรับคนที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์และสงสัยว่าฟิลเลอร์อันตรายไหม? ฉีดฟิลเลอร์แล้วมีผลข้างเคียงหรือไม่? ต้องทราบข้อมูลก่อนว่าจริงๆ แล้ว ฟิลเลอร์ ประเภทที่ปลอดภัยที่สุดคือ HA (Hyaluronic Acid) เท่านั้นครับ เนื่องจากสามารถสลายหมด 100% และฉีดใหม่ได้เรื่อยๆ
แต่ฟิลเลอร์ (Filler) ในทางการแพทย์จะหมายถึง การฉีดสารเติมเต็ม (Injectible Filler) ในต่างประเทศแบ่งออกได้ 4 ประเภท ดังนี้

1. HA (Hyaluronic Acid) ปลอดภัย สลายหมด มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
2. Collagen จากสัตว์ ปัจจุบันไม่นิยมใช้เนื่องจากมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ บวมแดงได้ง่าย
3. Transplanted Fat หรือการเติมไขมัน จะเหมาะกับคนที่ต้องการฉีดครั้งละมากๆ 10-20 CC
4. Biosynthetic polymers เป็นกลุ่มของซิลิโคนเหลว ไม่สลาย ไม่ปลอดภัยและไม่ผ่านอย.

คำว่าฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะหมายถึง Hyaluronic Acid ครับ ซึ่ง ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านอย. มีหลายยี่ห้อ โดยแพทย์จะประเมินและเลือกใช้ฟิลเลอร์ตัวที่เหมาะกับบริเวณที่คนไข้ต้องการแก้ปัญหาเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีและเป็นธรรมชาติที่สุด ฟิลเลอร์ แต่ละยี่ห้อ แม้จะเป็น hyaluronic acid เหมือนกัน แต่ด้วยเทคโนโลยีและขั้นตอนในการผลิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกัน ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้ฉีดในจุดต่างๆของใบหน้าไม่เหมือนกันครับ 
ซึ่งโดยปกติเมื่อเราไปพบแพทย์เพื่อฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าผิวของเราเหมาะกับฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนรุ่นไหน ซึ่งส่วนนึงก็ขึ้นกับความถนัดและเทคนิคการฉีดของหมอแต่ละคนด้วยครับ
สิ่งที่จำเป็นอย่างมาก คือ จะต้องเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องเหมาะสม ที่สามารถวิเคราะห์ปริมาณยาและตำแหน่งที่ฉีดได้แม่นยำ เพราะเมื่อฉีดสารเข้าไปแต่ละครั้งมีโอกาสเสี่ยงในการที่จะไปโดนเส้นเลือดบริเวณใบหน้าหรือบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ

สถานพยาบาลต้องมีความน่าเชื่อถือ ฉีดในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานได้รับอนุญาตให้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้น เพราะเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เราสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีครับ

ฟิลเลอร์ ฉีดในจุดไหนได้บ้าง?

การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดได้ในหลายตำแหน่งครับ แล้วแต่ว่ามีปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณไหนบ้าง สำหรับบนใบหน้าหมอแนะนำ 7 จุด ที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด ช่วยเติมเต็มใบหน้า ทำให้หน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

1. ฟิลเลอร์ใต้ตา เมื่อเราอายุมากขึ้นกระดูกใต้ตาจะยุบตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมฟิลเลอร์ใต้ตา จะช่วยให้หน้าดูเด็กลง สดใสขึ้น(ใช้ปริมาณ 1-2 ซีซี)
2. ฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตรหรือหน้าเรียววีเชฟ ถ้าฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็จะได้ผลดี เป็นธรรมชาติไม่แพ้การผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคางครับ(ใช้ปริมาณ 1 ซีซี)
3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม การมีร่องแก้มลึกจะทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย สามารถแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ซึ่งมีหลายเทคนิคครับ หมอจะประเมินว่าคนไข้แต่ละคนเหมาะกับเทคนิคไหนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด(ใช้ปริมาณ 1-2 ซีซี)
4. ฟิลเลอร์ปาก สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนทรงปาก มีริมฝีปากบาง มีริ้วรอยบริเวณขอบปาก ปากแห้ง สามารถใช้การเติมฟิลเลอร์ปากช่วยได้ โดยไม่ต้องใช้ปริมาณ ฟิลเลอร์ มากก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน(ใช้ปริมาณ 1 ซีซี)
5. ฟิลเลอร์ขมับ การเติมฟิลเลอร์ขมับ คือจุดสำคัญในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนเข้ารูปมากขึ้น และเป็นที่นิยมสำหรับคนหน้าตอบ ต้องการให้หน้าดูอวบอิ่ม ทั้งยังสามารถยกกระชับใบหน้าได้(ใช้ปริมาณ 2 ซีซี)
6. ฟิลเลอร์หน้าผาก การเติมฟิลเลอร์หน้าผาก ก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนสวย เป็นที่นิยมในวัยรุ่น ที่ชอบหน้าผากโหนกมนสวย ไม่อยากผ่าตัด ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เห็นผลทันทีหลังทำครับ(ใช้ปริมาณ 2-3 ซีซี)
7. ฟิลเลอร์ร่องมุมปาก การมีร่องมุมปากจะทำให้ดูแก่กว่าวัย ใบหน้าดูไม่สดใส สามารถแก้ไขให้มุมปากยกขึ้นได้ในครั้งเดียวกัน(ใช้ปริมาณ 1-2 ซีซี)

แบรนด์ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทย(อย.ไทย)

สำหรับคนที่ยังไม่ทราบว่าจะฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี หมออยากให้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของ ฟิลเลอร์ แต่ละชนิดเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนฉีดฟิลเลอร์ครับ เพราะในปัจจุบันมีฟิลเลอร์แท้ให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็จะมีรุ่นย่อยๆ อีกหลายชนิด มีคุณสมบัติต่างกันทั้งในจุดที่ฉีดและระยะเวลา

Restylane filler จากสวีเดน เป็นฟิลเลอร์ที่เริ่มผลิตมาได้ยาวนานที่สุดในโลกและยังคงความนิยมถึงปัจจุบัน การันตีจาก อย. FDA อเมริกา และ CE MARKS จากยุโรป  มีทั้งหมด มี 7 รุ่น แต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นและการนำไปใช้เติมเต็มผิวหน้าที่แตกต่างกัน

NASHA techology หรือ Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid Technology เป็นไฮยารูลอนิกแอซิดที่มีความคงตัว ปลอดภัย ป้องกันการเกิดการแพ้ ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1996 อย่างแพร่ และตอนนี้ถูกใช้มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย FDA จากสหรัฐอเมริกา CE marks จากยุโรป เนื้อเจลมีขนาดเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ไม่เท่ากันในฟิลเลอร์แต่ละรุ่น มีคุณสมบัติในการดึงโมเลกุลของน้ำเข้ามาเก็บไว้กับตัวยาฟิลเลอร์ หลังฉีดจึงไม่ก่อให้เกิดการไหลไปตามบริเวณต่างๆ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว คงสภาพอยู่ในร่างกายของเราได้นานประมาณ 6 เดือน – 1 ปีครับ หมอสามารถนำมาใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละปัญหา

OBT Technology หรือ Optimal Balance Technology เป็นอีกเทคโนโลยีการผลิตของฟิลเลอร์ Restylane ที่ผลิตมาภายหลังการผลิตแบบ NASHA แต่ก็เป็นที่ยอมรับและเลือกใช้โดยแพทย์หลากหลายจากทั่วโลก เน้นในเรื่องของความยืดหยุ่น เนื้อเจลมีความคงตัว ยืดหยุ่น สามารถปรับรูปทรงได้หลากหลายเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาเติมเต็ม ในแต่ละจุดประสงค์ของการฉีดฟิลเลอร์

1.Restylane

เลขทะเบียน อย. : 1C6/57(NB)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : NASHA
จุดเด่นของรุ่น 
– เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่ไม่มีส่วนผสมของยาชา ใช้เจลอนุภาคใหญ่ ออกแบบมาสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก เหมาะกับเติมเต็มร่องแก้ม ริมฝีปาก ร่องมุมปาก แก้มตอบ

2. Restylane Refyne

เลขทะเบียน อย. : 2C12/60(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : OBT
จุดเด่นของรุ่น 
เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีส่วนผสมของยาชา เนื้อเจลมีลักษณะ ยืดหยุ่น เติมเต็มแก้ม ร่องแก้ม ร่องมุมปาก สำหรับผู้ที่ผิวบาง

3. Restylane Defyne

เลขทะเบียน อย. : 2C11/60(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : OBT
จุดเด่นของรุ่น 
- เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เนื้อเจลมีความนิ่มปานกลางและยืดหยุ่นที่สูง มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับใช้ฉีดกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึก จึงนิยมรักษาบริเวณ midface หรือเติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ฉีดเสริมโหนกแก้ม แก้มตอบสามารถอยู่ได้นานช่วง 12 เดือน

4. Restylane Perlane Lyft

เลขทะเบียน อย. : 2C3/60(NB)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : OBT
จุดเด่นของรุ่น 
- เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับขึ้นรูป ยกกระชับใบหน้า แก้มส้ม คาง  ขมับ แก้ไขกรอบหน้า เพราะมีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

5. Restylane VOLYME

เลขทะเบียน อย:  2C13/60(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : OBT
จุดเด่นของรุ่น 
- เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีส่วนผสมของยาชาเช่นกัน ออกแบบมาเติมชั้นผิวบริเวณใบหน้าให้อิ่มฟูขึ้น เพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ ใช้สำหรับฉีดเติมเต็มส่วนที่โหลลึกหรือตอบเช่นแก้มตอบขมับตอบเป็นต้น สามารถอยู่ได้นานช่วง 12-15 เดือน

6. Restylane VITAL

เลขทะเบียน อย:  1C10/57(NB)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : NASHA
จุดเด่นของรุ่น 
- เป็นฟิลเลอร์โมเลกุลเบา เจลอนุภาคเล็ก เหมาะสำหรับปรับคืนความชุ่มชื่นของผิวหนัง ฟื้นฟูใบหน้าให้กระจ่างใส ปรับโครงสร้าง และความยืดหยุ่นของผิวหนัง มีความนิ่มเหมาะกับเติมเต็มหน้าผาก เนื้อริมฝีปาก

 

7. Restylane Vital Light

เลขทะเบียน อย:  1C11/57(NB)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  12 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : NASHA
จุดเด่นของรุ่น เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เจลอนุภาคเล็ก มีความนิ่มที่สุด สำหรับใช้บริเวณผิวพื้นที่ใหญ่เพื่อแก้ไขจุดที่มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ มีความนิ่มเหมาะใช้สำหรับเติมเต็มใต้ตา ร่องใต้ตา ลดรอยคล้ำใต้ตา เติมความชุ่มชื้นผิว (skin booster) ชุ่มชื้นปาก

Juvederm นำเข้าจากอเมริกา มีทั้งหมด มี 6 รุ่น แต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นและการนำไปใช้เติมเต็มผิวหน้าที่แตกต่างกัน

ฟิลเลอร์ Juvederm มีเทคโนโลยี 2 แบบ คือ Hylacross และ Vycross โดย Vycross Tecnology เป็นตัวใหม่ ที่ทำให้สารเติมเต็ม สามารถยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลยึดเกาะที่เหนี่ยวแน่นขึ้น อัตราการบวมน้ำน้อยมากเมื่อเทียบกับ HA ตัวอื่นๆ และที่สำคัญยังทำให้ผลลัพธ์หลังฉีด เรียบเนียน ออกมาดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานสูงสุดถึง 24 เดือน ซึ่ง Juvederm กลุ่ม Vycross  ได้แก่รุ่น Voluma, Volift,  Vobella และ Volite

ส่วน Hylacross Tecnology เป็นตัวดั้งเดิม มีคุณสมบัติค่าความอุ้มน้ำได้มาก ฉีดแล้วฟู เหมาะกับคนไข้ที่ต้องการประหยัด คือฉีด 1 cc จะสามารถฟูได้ถึง 1.5 cc และตัว HA มีความยืนหยุ่นสูง ทนต่อการขยับ เหมาะกับการฉีดเพื่อเติมเนื้อในบริเวณที่ผิวมีการขยับบ่อยๆ เช่น ร่องแก้ม มุมปาก แก้มตอบ แต่การยึดเกาะไม่ดีเท่า Vycross และผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่นานมาก ฟิลเลอร์ Juvederm กลุ่ม Hylacross ได้แก่รุ่น Ultra XC และ Ultra plus XC

โดยปกติสาร Hyaluronic Acid จะเป็นเส้นใยยาวๆละลายเป็นน้ำเหลวๆ  ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการเชื่อมต่อเส้นใยด้วยพันธะ (crosslink) เพื่อให้เกิดเป็นตาข่ายวุ้นเป็นเนื้อเจลฟิลเลอร์นิ่มๆ โดยฟิลเลอร์ที่มีจำนวนพันธะเยอะขึ้น สลายช้าลง ซึ่ง Juvederm ได้พัฒนาเทคโนโลยี Vycross โดยใช้ Crosslink ที่มีประสิทธภาพสูง ทำให้อยู่ได้นานขึ้นและปลอดภัย

1.Juvederm ULTRA XC
เลขทะเบียน อย. :  2C4/55(NB)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  24 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : Hylacross
จุดเด่นของรุ่น ULTRA XC
– เนื้อเจลนิ่ม เรียบเนียน
– เหมาะสำหรับคนที่ริ้วรอย หรือร่องลึก
– อยู่ได้นานถึง 12 เดือน

2.Juvederm ULTRA PLUS XC
เลขทะเบียน อย. :  2C5/55(NB)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  24 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : Hylacross
จุดเด่นของรุ่น ULTRA PLUS XC
– เนื้อเจลมีความแน่น คงตัว เรียบเนียน ไม่ไหล
– เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า ให้สวย และดูเป็นธรรมชาติ
– อยู่ได้นานถึง 12 เดือน
– ใช้ฉีดในบริเวณที่ต้องการความฟูมากๆ หรือบริเวณที่หายไปค่อนข้างเยอะ เช่น ขมับ ร่องแก้ม
  -Ultra / Ultra plus เป็น 2 รุ่นของฟิลเลอร์แบรนด์อเมริกาที่ให้ความเข้มข้นของสารไฮยาลูโรนิค แอซิดสูง เหมาะในการเติมเต็มในตำแหน่งที่ต้องการปริมาตรมาก เช่น ขมับ แก้มตอบ แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มเทคโนโลยีการผลิตแบบดั้งเดิม ผลการรักษาจะสั้นกว่า อยู่ได้เพียงช่วง 12-15 เดือน

3.Juvederm VOLUMA
เลขทะเบียน อย. : 2C1/57(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) : 20 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : Vycross
จุดเด่นของรุ่น VOLUMA
– เนื้อเจลมีความแน่น คงตัว เรียบเนียน ไม่ไหล
– ยกกระชับใบหน้าได้ดี
– ปั้นง่าย ทำให้ปรับรูปหน้าได้สวย ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
– เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยบนใบหน้าเยอะๆ และต้องการปรับรูปหน้า
– อยู่ได้นานถึง 2 ปี คุ้มค่า ไม่ต้องฉีดบ่อย
– ไม่บวม ไม่ช้ำ และเห็นผลทันทีหลังฉีด

4. Juvederm VOLIFT
เลขทะเบียน อย.  : 2C2/60(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) : 17.5 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : Vycross
จุดเด่นของรุ่น VOLIFT
– เนื้อเจลนิ่มปานกลาง เรียบเนียน ไม่ไหล
– เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องลึกต่างๆ และการฉีดปากเพื่อให้ได้รูปปากที่สวยตามต้องการ
– อยู่ได้นานถึง 1 ปีครึ่ง
– ไม่บวม ไม่ช้ำ และเห็นผลทันทีหลังฉีด

5. Juvederm VOLBELLA
เลขทะเบียน อย. :  2C5/57(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  15 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : Vycross
จุดเด่นของรุ่น VOLBELLA
– เนื้อเจลนิ่มที่สุด ให้ความเรียบเนียน แม้ฉีดตื้น
– มีปริมาณ HA ไม่มาก
– เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณผิวหนังบางๆ เช่น ใต้ตา หรือริ้วรอยบางๆ
– ไม่เกิดปรากฏการณ์ที่แสงตกกระทบฟิลเลอร์ใต้ผิวหนัง และทำให้เกิดเป็นสีผิวสีเทา
– อยู่ได้นานถึง 1 ปี
– ไม่บวม ไม่ช้ำ และเห็นผลทันทีหลังฉีด

6. Juvederm VOLITE   
เลขทะเบียน อย. : 2C4/62(NBC)
ปริมาณของ Hyaluronic Acid (HA) :  12 มิลลิกรัม / 1 หลอด
เทคโนโลยี : Vycross
จุดเด่นของรุ่น VOLITE
– เนื้อบางเบา สามารถฉีดเข้าไปยังชั้นหนังแท้ (dermis) ได้ เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ
– ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น อิ่มฟู ฉ่ำวาว ยื่ดหยุ่น ดูสุขภาพดี
– ช่วยลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนเล็กลง
– เห็นผลทันทีหลังฉีด ไม่ต้องพักฟื้น

3. Belotero filler หรือ colorful filler จากสวิสเซอร์แลนด์ ราคาไม่แพงจับต้องได้

4. Perfectha filler new generation จากฝรั่งเศส ผ่านการตรวจรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ไทย และต่างประเทศ

5. Neuramis filler  จากประเทศเกาหลี ราคาประหยัด ซึ่งตอนนี้ผ่านการรับรองในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว
เพราะไม่มี ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหน รุ่นไหนที่ดีที่สุด ที่สามารถฉีดได้ทุกจุดทุกสภาพผิวครับ ดังนั้นเมื่อเข้ามาที่คลินิกหมอจะเป็นคนประเมินสภาพผิวและปัญหาของคนไข้แต่ละเคส เลือกฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสมกับเคสนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เป็นธรรมชาติและคุ้มค่าครับ

จะสังเกตฟิลเลอร์แท้ได้อย่างไรบ้าง?

การฉีดฟิลเลอร์ปลอมมีอันตรายมากครับ หลังฉีดไปแล้วเกิดการย้อยเป็นก้อนแข็ง อาจมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ อักเสบติดเชื้อ บวมแดง และในรายที่อาการหนักอาจเนื้อตายหรือตาบอดได้ บางเคสเจอ ฟิลเลอร์ ราคาถูก ที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ฉีดแล้วมีปัญหาไม่สามารถสลายได้ต้องผ่าตัดหรือขูดออกเสียทั้งเงินและเวลาครับ
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ ว่ามีจุดสังเกตอะไรบ้าง และมีบริษัทนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่

  • มีรอยปุสำหรับเปิดกล่อง
  • มีป้ายภาษาไทยที่ข้างกล่องและมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
  • มีสติ๊กเกอร์ โฮโลแกรม Restylane GALDERMA
  • เลข lot. ตรงกัน 2 จุดคือ
    • 1.เลข lot. ที่ข้างกล่อง
    • 2.เลข lot. ที่หลอด
  • สามารถสอบถามเลข lot. และคลินิกได้ที่บริษัท Galderma โทร. 02-0231800 ต่อ 402

1.ประเมินใบหน้าและวางแผน

แพทย์จะทำการประเมินดูลักษณะของใบหน้าและปัญหาผิว รวมถึงตรวจดูบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาบนใบหน้า จะมีการทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ แต่ละจุดบนใบหน้า รวมถึงมีการถ่ายภาพใบหน้าบริเวณที่จะทำการรักษาด้วยฟิลเลอร์ เพื่อวัดผลการเปลี่ยนแปลงภายหลังจากทำการฉีดฟิลเลอร์

2.ทำความสะอาดและใช้ยาระงับความรู้สึก

ขั้นตอนของการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเช็ดทำความสะอาดบนใบหน้า หากมีการแต่งหน้ามาก่อน จะต้องทำการล้างเครื่องสำอางออกทั้งหมด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการทายาระงับความรู้สึก หรือ อาจใช้อุปกรณ์เย็นจัด ที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นขณะฉีดฟิลเลอร์

3.ฉีดฟิลเลอร์

เมื่อได้ทำการประเมินใบหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนของการฉีดฟิลเลอร์ จะใช้เวลาในการฉีดแต่ละเข็มเพียงไม่นาน แพทย์จะทำการนวดและประเมินผลการตรวจไปพร้อมๆ กับการการฉีดฟิลเลอร์ 

4.การทำความสะอาดแผลและพักฟื้น

เมื่อแพทย์เห็นว่าผลลัพธ์ของการรักษาเป็นที่พอใจแล้ว จะลบเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ทำไว้ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ และอาจใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการบวมและบรรเทาความรู้สึกไม่สบายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ผิวหนังบริเวณดังกล่าวอาจมีการฟกช้ำจากรอยเข็มที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ อยู่สัก 1-2 วัน แต่ก็จะไม่เจ็บมาก
เมื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้าน อาจใช้น้ำแข็งประคบบริเวณดังกล่าว โดยอาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือเพียง 2-3 วัน 
 

ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์และหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์

1.ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การเลือกหมอ เทคนิคในการทำ รวมไปถึงวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า
2.มียาและวิตามินบางชนิดที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์ แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
3.งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
4.งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
5.หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
6.แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
7.สามารถแจ้งเพื่อขอแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้และหมอจะฉีดยาชาในจุดนั้นๆ ให้ด้วย

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

1. หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกาและกดนวดในจุดที่ฉีด อาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเป็นปกติ จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน (หากหลังจาก 3 วันไปแล้ว มีอาการบวมมากขึ้นให้ติดต่อกลับมาที่คลินิกเพื่อรับยากินเพิ่มครับ)
2. หากก่อนทำไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบกินยาฆ่าเชื้อทันที นอกจากนี้ยังมียาแก้ปวด ลดบวมกลับไปให้ทานด้วยครับ
3. ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด
4. ให้งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
5. อย่าขยับผิวในจุดที่ทำมากโดยเฉพาะช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนได้ครับ
6. ควรงดทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า ดังนี้ครับ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ หมูกระทะ ชาบู
- อาหารหมักดอง อาหารที่เผ็ดมากๆ จนหน้าแดง อาหารหวานจัดและอาหารดิบจากร้านที่ไม่สะอาด
- งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้าและส่งผลการรักษาอยู่ได้สั้นลงด้วยครับ
7. ควรดื่มน้ำมากๆ ประมาณวันละ 2-3 ลิตร เพื่อความชุ่มชื้นและให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดไปอุ้มน้ำและฟูขึ้น

อาการข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์

อาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำการฉีดฟิลเลอร์เป็นปกติ ให้หลีกเลี่ยงการแตะ การเกา การกดนวดในจุดนั้นๆ อาการต่างๆจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หาก 3 วัน อาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์คลินิกที่ได้ทำการรักษา
หากฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์แท้จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย ไม่เกิดการไหลย้อยหรือฟิลเลอร์ผิดรูป แต่อาการข้างเคียงที่เกิดจากเทคนิคแพทย์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้หากไม่ได้รับบริการจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร? สามารถสลายได้หมดไหม?
สำหรับคนที่ฉีดฟิลเลอร์ไประยะหนึ่งแล้วพบอาการบวม เป็นก้อนแข็ง กดไม่ลง เป็นปัญหาทำให้กังวลและเสียความมั่นใจ เมื่อหมอพิจารณาว่าเกิดจากเทคนิคการฉีดและฉีดโดยใช้ฟิลเลอร์แท้ จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ครับ
โดยปกติฟิลเลอร์แท้ Hyaluronic Acid ที่ได้มาตรฐานจะสลายไปเองตามธรรมชาติ เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแต่ละยี่ห้อ แต่หากต้องการสลายทันทีก็สามารถใช้เอนไซม์ที่ Hyaluronidase ช่วยละลายออกได้หมด 100% เป็นวิธีทำให้ฟิลเลอร์สลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวกลับคืนสภาพเดิม หลังจากนั้นหากอยากฉีดฟิลเลอร์เพิ่มอีกก็สามารถทำได้ครับ
โดยการฉีดสลาย ไม่สามารถใช้ได้กับฟิลเลอร์ปลอม หรือกลุ่มอื่นที่ไม่ผ่าน อย. เช่น ซิลิโคน หรือ พาราฟิน ปัจจุบันยังไม่มีสารตัวใดสลายฟิลเลอร์ชนิดนี้ได้ หากต้องการเอาออก ต้องทำการขูดออกเท่านั้น

เลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง?

เพราะในปัจจุบันมีคลินิกที่รับฉีดฟิลเลอร์จำนวนมาก แต่ใช่ว่าจะฉีดกับใครหรือที่ไหนก็ได้ คนไข้ควรพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือ ได้มาตรฐานปลอดภัยและคุ้มค่า ดังนั้นสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี หมอมีข้อแนะนำดังนี้ครับ

1. ต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
2. แพทย์ต้องมีประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะทางด้านการฉีดฟิลเลอร์ การวางตัวยาในตำแหน่งชั้นผิวแบบใดแก้ปัญหาใด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ และบวมช้ำน้อยที่สุด และ ไม่เกิดปัญหาหลังการฉีดฟิลเลอร์ในแบบต่างๆ เช่น ฟิลเลอร์นูนเป็นก้อน หรือฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง เป็นต้น
3. ฉีดโดยใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น ราคาสมเหตุสมผลซึ่งอาจจะแตกต่างกันได้ในด้านความชำนาญของแพทย์ หากเป็นฟิลเลอร์ที่มีราคาถูกจนเกินไป ให้เดาได้เลยว่าน่าจะเป็นฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง
4. ดูรีวิวของลูกค้าที่เคยมาใช้บริการจริง จากแหล่งที่เป็นกลางเชื่อถือได้
5. คลินิกต้องมีการติดตามผลหลังฉีดทุกครั้ง

“ฟิลเลอร์แท้เหมือนกัน บนมือคนละหมอ ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันนะครับ”

การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) สามารถฉีดได้หลายบริเวณทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก ขมับ ใต้ตา แก้ม ร่องแก้ม ไปจนถึงคาง ช่วยในการเติมเต็มร่องลึก หรือเสริมเติมมิติให้ใบหน้า ได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าการฉีดฟิลเลอร์สามารถสร้างความมั่นใจให้ทุกคนได้มากขึ้น แต่ภายใต้ความสวยงามนั้นควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก หมอแนะนำว่าควรศึกษาหาข้อมูลก่อน ฉีดกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้ของแท้ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีครับ