โบท็อก

โบท็อก (Botox) คือ ชื่อทางการค้าของ Botulinum toxin type A เป็นโปรตีนที่สกัดได้จากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชื่อ Clostridium botulinum ทางการแพทย์จะใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่ต้องการคลายกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อกระตุก ส่วนด้านความงานนั้น Botox ใช้เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นลดการทำงาน เช่น รอยตีนกา รอยที่หน้าผาก จนถึงการช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามเล็กลงได้

ฉีดโบท็อกดีไหม ?

การฉีดโบท็อก (Botox) จะช่วยรักษาริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่างๆ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้นครับ นอกจากนี้การฉีดโบยังช่วยกระชับกรอบหน้า ทำให้ใบหน้ากลับมาตึงกระชับขึ้น หรือถ้าฉีดบริเวณกรามก็จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง รูปหน้าเรียวลงและยังสามารถนำโบท็อกมาช่วยลดเหงื่อ ลดขนาดกล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อน่องได้ด้วย หัตถการโบท็อกเหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบไม่ให้หน้าเปลี่ยนไปมาก ยังเหมือนเดิมแต่สวยขึ้น กระชับขึ้นครับ

ฉีดโบท็อก ทำให้กล้ามเนื้อตายจริงหรือ? วิธีการทำงานของ Botox เป็นอย่างไร

เมื่อแพทย์ฉีดโบท็อกไปในส่วนต่างๆ ที่ต้องการรักษาแล้ว Botox จะเข้าไปจับที่ปลายประสาททำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ หรือกล่าวได้ว่าเป็นการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดอ่อนแรงลงชั่วคราว ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ สามารถเห็นผลลัพธ์หลังการฉีดได้ภายใน 2 – 3 วัน สำหรับริ้วรอยตื้นๆ และรอยลึกจะเริ่มเห็นผลประมาณ 7 – 14 วัน เมื่อฉีดไปแล้วยังสามารถแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ เพียงแค่ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์จะหายไป หลังการฉีดผลลัพท์จะอยู่ได้นาน 6 – 8 เดือน หลังจากนั้นริ้วรอยก็จะกลับมาเหมือนเดิม

ฉีดโบท็อก อันตรายไหม? มีผลข้างเคียงหรือไม่? อยากฉีดโบท็อกอย่างปลอดภัยต้องรู้อะไรบ้าง?

ขณะนี้ยังไม่มีรายงานถึงผลข้างเคียงถาวรของการฉีดโบท็อก แต่ในบางกรณี คนไข้อาจจะมีรอยช้ำตรงที่ฉีด หรือปวดหัว ซึ่งก็จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้นและก็จะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปครับ ส่วนใหญ่ที่คนไข้กังวลมักเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ไม่ดีจากคนอื่นที่เคยฉีดมาหรือตามที่ออกข่าว ไม่ว่าจะเป็นหน้าแข็ง ยิ้มไม่ได้ ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่หมอทุกคนที่ฉีดออกมาแล้วเป็นแบบนั้นครับ ขึ้นอยู่กับเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์แต่ละคน ถ้าฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยครับ และเพื่อให้การฉีดได้ผลดี เป็นธรรมชาติและปลอดภัยมากที่สุด นอกจากการเลือกคลินิกแล้ว คนไข้ควรศึกษาวิธีดูโบท๊อกแท้ที่ผ่าน อย. ไว้บ้าง เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบโบท็อกที่นำมาฉีดได้ในเบื้องต้นครับ

อันตรายจากโบท็อกปลอม?

มีบางเคสที่เห็นแก่ราคาถูกและไม่ได้คำนึงถึงอันตรายจากโบท็อกปลอม ไปฉีดกับหมอกระเป๋า นอกจากไม่สามารถฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้องแล้ว คุณภาพและการเก็บรักษาตัวยาก็ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้คุณภาพของโบท็อกเสื่อมไป ส่งผลดังนี้ครับ

- ปากเบี้ยว หน้าแข็ง หนังตาตก เนื่องจากการกระจายตัวยาผิดตำแหน่ง
- ไม่ได้ผล กรามไม่เล็ก ริ้วรอยไม่หาย
- ต้องฉีดบ่อยขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น 
- อาการแพ้โบท๊อก เนื่องจากเป็นของปลอม มีการปนเปื้อนในยา
- การดื้อโบท๊อก ซึ่งหากเกิดภาวะนี้แล้ว จะทำให้ฉีดโบท๊อกไม่ได้ผลอีกเลย และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาได้

รวมจุดฉีดโบท็อก ฉีดตรงไหน? ช่วยอะไรได้บ้าง? และใช้ประมาณกี่ยูนิต ?

โบท็อกสามารถนำมาฉีดในกล้ามเนื้อได้หลายจุด แต่บริเวณที่คนนิยมฉีด botox คือใบหน้าครับ ทั้งฉีดเพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า สำหรับคนที่สงสัยว่า ฉีดตรงไหนได้บ้าง หมอรวบรวมจุดต่างๆ ไว้ดังนี้ครับ

สามารถเข้าไปอ่านบทความเพิ่มเติมได้ตามหัวข้อด้านล่างนี้ หมอเขียนอธิบายรายละเอียดการฉีดแต่ละจุดไว้เพื่อให้คนไข้เข้าใจและเป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกครับ

ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดี?

โบท็อกมีหลายยี่ห้อจากหลายประเทศครับ ยี่ห้อของโบท็อกหลักๆ ได้แก่

โบท็อกอเมริกา

-Allergan

โบท็อกเกาหลี

-Hugel
-Botulax
-Aestox
-Nabota 


โบท็อกอังกฤษ

-Dysport

โบท็อกเยอรมัน

-Xeomin

โบท็อก (Botox) ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นโบท็อกตัวดั้งเดิม ผลิตมายาวนาน มีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก และผ่านการพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้มีโอกาสดื้อยาน้อยมาก ข้อดีของโบท็อกอัลเลอร์แกนคือกระจายตัวแคบ ทำให้ควบคุมการฉีดได้แม่นยำ ตรงจุด แต่ในทางกลับกัน หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ จะเห็นข้อผิดพลาดได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคิ้วกระดก ยิ้มแข็ง หรือแก้มตอบ

ดิสพอร์ต (Dysport) ผลิตในประเทศอังกฤษ มีจุดเด่นคือกระจายตัวได้ดี จึงเหมาะสำหรับใช้กับบริเวณกว้าง เช่น ฉีดลดเหงื่อ ลดต้นแขน ลดน่องปูด

ซีโอมิน (Xeomin) ผลิตในประเทศเยอรมนี มีจุดเด่นคือมีการนำโปรตีนขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นออก ทำให้เหลือเฉพาะโบทูลินัมท็อกซินเอบริสุทธิ์ โมเลกุลเล็ก ฉีดแล้วไม่กระจุกตัวแคบเกินไป และมีงานวิจัยแสดงว่าได้ผลดีในเคสที่ดื้อยา แต่จะต้องหยุดการฉีดโบท็อกมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปี ในส่วนของราคา ค่อนข้างสูงพอๆ กับยี่ห้อโบท็อก

ฮูเจลล์ (Hugel) ผลิตในประเทศเกาหลี คุณสมบัติค่อนข้างใกล้เคียงกับยี่ห้อโบท็อก คือมีการกระจายตัวค่อนข้างแม่นยำใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง

โบทูแล็กซ์ (Botulax) ผลิตในประเทศเกาหลี ออกฤทธิ์ค่อนข้างไว แต่สลายตัวเร็ว ไม่ค่อยคงทนนัก ข้อดีคือราคาประหยัด

นาโบตะ (Nabota) ผลิตในประเทศเกาหลี จัดเป็นยี่ห้อพรีเมียม มีความบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์เร็ว เน้นใช้ลดเลือนริ้วรอยที่หน้าผาก หางตา ปรับรูปหน้า ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามดูเล็กลง
ซึ่งโบท็อกของแต่ละยี่ห้อแต่ละประเภทจะมีระยะเวลาอยู่ได้ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์, ชนิด protein complex หรือขนาดของ molecule complex ตัวที่จะส่งผลให้โบท็อกแตกต่างกันมากที่สุดคือ ขนาดของ molecule complex size ครับ

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก แบบที่ไม่สามารถฉีดได้ (Absolute contraindication)

  • คนที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่างๆ เช่น
    • amyotrophic lateral sclerosis (ALS)
    • Lou Gehrig's disease
    • myasthenia gravis
    • Lambert-Eaton syndrome
  • มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังในจุดที่จะฉีดโบท็อก
  • มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ มีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก แบบที่ควรระวัง (สามารถฉีดได้แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน)

  • มีประวัติเคยแพ้ส่วนผสมของโบท็อก โบท็อกประกอบด้วย : Botulinum toxin type A, Human albumin, Sodium chloride
  • ในคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ยังไม่มีการศึกษาที่รับรองความปลอดภัยของการฉีดโบท็อก
  • สำหรับคนที่อายุ 12-18 ปี มีการศึกษารับรองความปลอดภัยในบางกรณีเท่านั้น (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

ข้อมูลอื่นๆที่คนไข้ควรแจ้งแพทย์

  • เคยมีผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกครั้งก่อนๆ
  • มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย
  • มีกำหนดการที่จะผ่าตัด
  • เคยผ่าตัดที่ใบหน้ามาก่อน
  • มีภาวะหนังตาตกอยู่
  • หัตถการต่างๆที่เคยทำบนใบหน้ามาก่อน เช่น โบท็อก ฟิลเลอร์ ร้อยไหม เมโส เลเซอร์ต่างๆ
  • อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการศึกษายืนยันว่าโบท็อกเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่
  • ให้นมบุตร ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการศึกษายืนยันว่าโบท็อก สามารถผ่านไปทางน้ำนมได้หรือไม่

ข้อปฏิบัติตัวที่ควรรู้ก่อนและหลังฉีดโบท็อก

สำหรับใครที่กำลังจะฉีดโบท็อกควรศึกษาข้อปฏิบัติตัว ก่อน-หลังฉีดให้ดีก่อนครับ เพื่อที่จะให้ผลลัพธ์ของการฉีดออกมาดีและคุ้มค่าที่สุด

ก่อนฉีดโบท็อกควรเตรียมตัวอย่างไร?

1. เลือกใช้โบท็อกแท้เท่านั้น
2. ก่อนฉีดควรให้แพทย์ผสมโบท็อกให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เจือจางน้ำเกลือมากเกินไป
3. ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและหมอที่มีประสบการณ์
4. ไม่ควรฉีดโบท็อกเกิน 300 ยูนิต ต่อครั้ง
5. ระหว่างการฉีดควรประคบด้วยความเย็น เพื่อลดการไหลเวียนของเส้นเลือดรอบๆ

หลังฉีดโบท็อกควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

1. หลังฉีดโบท็อกควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง
2. งดนอนราบ 3 ชม.
3. หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง 48 ชม.
4. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู หรืออาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ 48 ชม.
5. หากมีคอร์สทำหน้า นวดหน้า ควรงด 2 สัปดาห์หลังทำ

หลังฉีดโบท็อกควรงดอาหารเหล่านี้ อย่างน้อย 48 ชม.

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก
  • หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ
  • อาหารที่เผ็ดมากๆ แสบร้อนจนหน้าแดง
  • อาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง
  • งดสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารหลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด

สำหรับคนไข้ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะ ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ให้ดูจากความน่าเชื่อถือและมาตรฐานของคลินิกเป็นหลัก และสามารถดูได้จาก

1. มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ โดยดูจากผู้ใช้บริการจริง พิจารณาจากแหล่งรีวิวที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ 
2. ราคาย่อมเยาว์ ไม่สูงหรือต่ำต่างไปจากคลินิกอื่นๆมากเกินไป ซึ่งความแตกต่างของราคานั้นมักจะขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์
3. แพทย์ต้องมีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ และบวมช้ำน้อยที่สุด
4. ต้องแกะกล่องและเปิดขวดใหม่ให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง และให้กล่องคนไข้กลับบ้านได้เพื่อให้คนขั้นสามารถเช็คกับบริษัทที่นำเข้าได้
5. มีการนัดดูผล ติดตามผลการรักษา 

ทำไมฉีดโบท๊อกแล้วไม่ตึงเหมือนเดิม ? กรามไม่ลง?

บางคนฉีด โบท็อก แล้วกลับไม่เห็นผล ฉีดเท่าไหร่ก็เหมือนเดิม ซึ่งอาจเกิด ภาวะดื้อโบท็อก วันนี้หมอจึงได้รวบรวมสาเหตุมาฝากกัน

1. เกิดจากการฉีด โบท็อก ผิดตำแหน่ง
ฉีด โบท็อก แล้วไม่เห็นผล อาจเกิดจากแพทย์ผู้ฉีดไม่มีความชำนาญ ทำให้ฉีด โบท็อก ไม่โดนในตำแหน่งกล้ามเนื้อที่ต้องการ ไปฉีดโดนกล้ามเนื้อที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง จึงทำให้ไม่เกิดผล
2. เกิดจากฉีด โบท็อก น้อยกว่ามาตรฐาน
การใช้ปริมาณยูนิตที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อาจทำให้กล้ามเนื้อไม่ตอบสนองต่อตัวยา และไม่สามารถยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในเรื่องของปริมาณเหล่านี้แพทย์ที่ทำการรักษาจะเป็นผู้ประเมินว่าแต่ละตำแหน่งและปัญหาที่ต้องการแก้ไขนั้น จะต้องใช้ปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสม
3. เกิดจากยาไม่ได้มาตรฐาน หรือ โบท็อกปลอม
หากเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปลอดภัย อาจจะโดนฉีดโบท็อกของปลอม ซึ่งของปลอมจะไม่เห็นผล อยู่ได้ไม่นาน และมีผลเสียคือ อาจทำให้หน้าผิดรูป เกิดการติดเชื้อ ในปัจจุบันมี โบท็อก ปลอมเกรด A ที่เหมือนกับของแท้ตั้งแต่ขวดจนไปถึงเลขรหัสจนแทบแยกไม่ออก สามารถพบได้ตามคลินิกเถื่อน หรือ หมอกระเป๋า 
4. เกิดจากภาวะดื้อโบท็อก
ปัญหาที่หนักที่สุดของคนที่ฉีด โบท็อก ( Botox ) แล้วไม่เห็นผล เกิดจากการมีภาวะดื้อโบท็อก ซึ่งหลายคนมักไม่รู้ตัว ทำให้ฉีดเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผล

อาการดื้อโบท็อกคืออะไร เกิดได้อย่างไร?

สาเหตุของอาการดื้อโบท็อกก็คือ การเลือกใช้โบท็อก ที่ไม่ได้รับการรองรับจากอย. และเป็นโบท็อกที่ไม่บริสุทธิ์  มีสารปนเปื้อน จึงกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกัน ออกมาต้าน ทำให้ไม่ว่าจะเป็น โบท็อก ( Botox ) ของแท้หรือของปลอม ที่ฉีดเข้าไปนั้นไม่เห็นผล ซึ่งเรียกได้ว่าเกิดภาวะ “ดื้อโบท็อก” นั่นเองครับ และอีกสาเหตุหนึ่งคือ การฉีด โบท็อก ( Botox ) ในปริมาณที่มากๆ หรือ ฉีดบ่อยมากกว่า 3 เดือนต่อครั้ง ก็มีส่วนทำให้เกิดการดื้อโบท็อกได้เช่นกัน ดังนั้น ควรฉีด โบท็อก ( Botox ) ในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม

ผลกระทบของภาวะดื้อโบท็อก คือ การรักษาไม่เป็นไปตามผลที่หวังไว้ ทำให้ต้องสิ้นเปลืองยา เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น แต่สำหรับผลกระทบในระยะยาว เมื่ออายุมากขึ้นและเกิดป่วยเป็นโรคบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ท็อกซินชนิดนี้ในการรักษา จะไม่สามารถรักษาได้ เนื่องจากเกิดภาวะดื้อไปแล้ว จึงส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

หากไม่อยากต้องเจอปัญหาอาการดื้อโบท็อก หมอแนะนำว่าเคล็ดลับง่ายๆ ดังนี้
1. ควรฉีดเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้น
2. ควรฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
3. ควรฉีดครั้งละไม่เกิน 100 ยูนิท และหากเป็นโมเลกุลเล็กและบริสุทธิ์ (Pure Toxin) เพื่อช่วยลดการดื้อโบในอนาคตครับ
รู้แบบนี้แล้ว ใครที่ชอบการฉีด โบท็อก ( Botox ) จะต้องระมัดระวัง ศึกษาหาข้อมูลของคลินิกให้ดี เลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาต รวมถึงเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย เพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี 

โบท็อก (BOTOX) แล้วปากเบี้ยว สาเหตุเกิดจากอะไร อันตรายมากแค่ไหน?

การฉีดโบท็อก (BOTOX) เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง ลดกราม ลดแก้ม และลดริ้วรอย แม้จะเป็นเทคนิคที่ได้รับการยืนยันแล้วว่ามีความปลอดภัยสูง แต่บางครั้งก็อาจเกิดปัญหาหลังการฉีดได้เช่นกัน โดยเฉพาะอาการปากเบี้ยว ยิ้มไม่ได้ ยิ้มแล้วไม่เท่ากัน หรือยิ้มไม่สุด
ลักษณะเด่นของอาการปากเบี้ยวที่เกิดจากการฉีดโบท็อก ซึ่งพบได้บ่อยในคนไข้ ได้แก่

  • มุมปากข้างใดข้างหนึ่ง ยกขึ้น หรือ ตกลง ทำให้ปากทั้งสองข้างดูไม่เท่ากัน
  • ยิ้มไม่ขึ้น หรือไม่สามารถยกมุมปากทั้งสองข้างให้ยิ้มได้ตามปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากอ่อนแรงจนควบคุมลำบาก
  • ยิ้มไม่สุด เพราะมีความรู้สึกตึงเกร็งที่บริเวณรอบๆ มุมปากข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง

สาเหตุของอาการปากเบี้ยวหลังฉีดโบท็อก

อาการปากเบี้ยว ยิ้มไม่ได้ หรือยิ้มไม่สุด ที่เกิดหลังจากการฉีดโบท็อก มีสาเหตุจากฤทธิ์ของโบท็อกไปโดนมัดกล้ามเนื้อ “ไรซอเรียส (Risorius)” กับกล้ามเนื้อ “ไซโกมาติก (Zygomatic)” ที่อยู่บริเวณมุมปาก ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือคอยควบคุมการยกมุมปากขึ้นเวลาที่เรายิ้ม เนื่องจากฉีดโบท็อกไปโดนมัดกล้ามเนื้อดังกล่าวเลยส่งผลให้เราไม่สามารถดึงยกมุมปากได้ตามปกติ และทำให้ปากสองข้างดูเบี้ยวไม่สมมาตรกันด้วย

มักสืบเนื่องมาจาก

  • ฉีดโบท็อกผิดตำแหน่ง ซึ่งเกิดได้ในกรณีที่เราไปฉีดโบท็อกกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • โบท็อกกระจายตัวไม่ดีและไปเกาะในจุดที่เราไม่ต้องการ ซึ่งเกิดขึ้นได้หากใบหน้าโดนกระแทกแรงๆ มีการนวดคลึงหน้าหลังฉีด หรือคนไข้นอนราบทันทีจนทำให้โบท็อกไหลออกจากบริเวณเดิม
  • ใช้โบท็อกปลอม หรือตัวยาหมดอายุ สารที่ฉีดจึงไม่สามารถสลายตัวได้ตามปกติ
  • คนไข้มีกล้ามเนื้อไรซอเรียสเกาะไปด้านหลังมากกว่าปกติ

การแก้ไขปัญหาปากเบี้ยวจากโบท็อก

สำหรับการแก้ไขอาการปากเบี้ยว คุณหมอจะทำการสลายโบท็อกในบริเวณที่ไม่ต้องการโดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การนวดประคบร้อน การทำ HIFU หรือใช้เครื่อง RF (Radio Frequency) เพื่อปล่อยความร้อนไปทำลายโบท็อกส่วนที่ยังไม่ออกฤทธิ์ และช่วยให้ส่วนที่ออกฤทธิ์แล้วสลายตัวเร็วขึ้น นอกจากนี้ เรายังสามารถบริหารมัดกล้ามเนื้อที่มุมปาก เพื่อให้สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ตามต้องการเร็วขึ้นด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจฉีดโบท็อกแต่ละครั้ง คือเราต้องศึกษาข้อมูลให้ดี และเลือกฉีดกับคลินิกที่ผ่านการรับรองเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะได้ฉีดโบท็อกของแท้ คุณภาพดี มีมาตรฐาน โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการปากเบี้ยว รวมถึงภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ หลังฉีดโบท็อกไปได้มากทีเดียวครับ